ประเทศไทยกับโอกาสสู่ศูนย์กลางการเงินโลก ยุทธศาสตร์ การพัฒนา และความท้าทาย
Student blog — 07/02/2025

ปัจจุบัน คณะเศรษฐศาสตร์มีหลักสูตรทันสมัยเกี่ยวกับการเงินและการลงทุน เช่น หลักสูตรเศรษฐศาสตร์นวัตกรรมทางธุรกิจและการเงิน ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ การเงิน และการลงทุนในยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นทักษะสำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
โอกาสของไทยในการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน
ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก ในอนาคต โดย รองศาสตราจารย์ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (DEIIT-UTTC) ได้ระบุว่า ภายในหนึ่งทศวรรษข้างหน้า ประเทศไทยมีโอกาสเติบโตและพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกได้ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง
แนวทางสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ภาครัฐต้องดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยเริ่มจากการ เปิดเสรีทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคบริการทางการเงิน ควบคู่ไปกับการวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการพัฒนา “เงินบาท” ให้เป็นสกุลเงินหลักของภูมิภาคเอเชีย
อีกทั้งจำเป็นต้องปฏิรูประบบกฎหมายให้เอื้อต่อการเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุน เดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน และพัฒนาระบบการเงินแบบดิจิทัล รวมถึงการ เตรียมบุคลากรที่มีทักษะสูง ในภาคการเงินและการลงทุน เพื่อให้มีความสามารถทัดเทียมระดับสากล
การพัฒนาตลาดการเงินและการลงทุน
ตลาดการเงินและตลาดทุนของไทยต้องได้รับการพัฒนาให้เข้าสู่มาตรฐานของประเทศพัฒนาแล้ว พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับนักลงทุนทั่วโลก โดยการยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาลให้เป็นไปตามหลักสากล ซึ่งจะช่วยให้ระบบการเงินของไทยมีความโปร่งใสและได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ
หนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญคือ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจการเงิน ซึ่งจะช่วยสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจทางการเงินและการลงทุน พร้อมสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Financial Hub ที่สำคัญของโลก
ข้อได้เปรียบของไทยเมื่อเทียบกับศูนย์กลางทางการเงินอื่น
ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน เช่น ค่าใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์ ค่าครองชีพ และค่าเช่าพื้นที่สำนักงานที่ถูกกว่า เมื่อเทียบกับศูนย์กลางทางการเงินของโลก เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน ลอสแอนเจลิส โตเกียว ฮ่องกง สิงคโปร์ และดูไบ
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในระดับโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้นทุนทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ประเทศไทยจำเป็นต้อง พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี การชำระเงิน และการสื่อสารโทรคมนาคมให้สามารถเทียบเคียงกับมาตรฐานของศูนย์กลางการเงินระดับโลก
การออกแบบสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดนักลงทุน
รัฐบาลควรออกแบบสิทธิประโยชน์ทางภาษีและกฎระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุนของสถาบันการเงินระดับโลก เพื่อดึงดูดธุรกิจและนักลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานดำเนินการทางการเงิน
ความมั่นคงปลอดภัยของระบบการเงิน
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขคือ ปัญหาการหลอกลวงทางการเงิน โดยเฉพาะจากขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงินเป็นจำนวนมาก ภาครัฐต้องดำเนินมาตรการจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง และปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้ สถาบันการเงินและบริษัทโทรคมนาคมร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
การบังคับให้สถาบันการเงินและบริษัทโทรคมนาคมพัฒนาระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ จะช่วยลดความเสี่ยงจากอาชญากรทางการเงิน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานระบบการเงินในประเทศ
ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางทางการเงินได้ หน่วยงานหลัก เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และบริษัทบริการโทรคมนาคม ควรร่วมมือกันพัฒนา ระบบป้องกันการฉ้อโกงทางการเงิน และกำหนดความรับผิดชอบร่วมกันในการป้องกันความเสียหายทางการเงิน
บทสรุป
การก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่ประเทศไทยมีศักยภาพและโอกาสที่จะทำให้สำเร็จได้ หากมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงกฎหมาย และการสร้างความมั่นใจในระบบการเงิน ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกในอนาคต